ถาม ? ถ้าหมั่นไส้ใครคนหนึ่งไม่หายจะทำอย่างไรดี? พยายาม ตั้งความนึกคิดเป็นกุศลกับเขาแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องเวียนกลับมาหมั่นไส้อยู่ดี
เหมือนใจเห็นไปแล้วว่าเขามีข้อเสียอย่างไร นึกถึงเขาเมื่อไหร่เลยเล็งอยู่แต่ข้อเสียตรงนั้นไม่เลิก ตอนนี้ไม่ค่อยอยากมีจิตเป็นอกุศลกับใครอีกแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมชาติของใจคนเรานั้นไหลลงต่ำ หมายความว่าถ้าจะขึ้นสูงก็ต้องออกแรงทวนกระแส
จากความจริงนี้ ผมขอตั้งทฤษฎีขึ้นมาข้อหนึ่งนะครับ คือกำลังของใจที่ใช้ในการคิดไม่ดีมีขนาดเท่าใด ต้องใช้กำลังของใจในการคิดดีเป็นสองเท่าจึงจะลบล้างความคิดไม่ดีเดิมได้ แปลว่าถ้าคุณคิดหมั่นไส้ใคร แล้วแค่จะคิดตัดใจเลิกหมั่นไส้ดื้อๆนั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เว้นแต่คุณจะลงทุนออกแรงมากกว่าคิด
ลองเอาชนะกรรมทางความคิดเดิมด้วยกรรมใหม่ที่มีกำลังเหนือกว่า ซึ่งไม่ยากเกินไปดังนี้
๑) เห็นโทษของการเป็นคนมีนิสัยขี้หมั่นไส้ ว่าอาจก่อให้เกิดความคิดไม่ดี คำพูดไม่ดี และการกระทำไม่ดี
แล้วตั้งใจเลิกนิสัยนี้เสีย การเห็นโทษของบาปหรืออกุศลเท่านั้น เป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้จิตฉลาดในกรรมอย่างแท้จริง
เช่นหากปราศจากซึ่งการเห็นโทษของการหมั่นไส้เสียแล้ว คุณจะเอากำลังใจคิดอยากเลิกหมั่นไส้มาแต่ไหน?
๒) เห็นด้านดีของคนที่คุณหมั่นไส้ หมายถึงต้องเล็ง ต้องสังเกต หรือต้องสำรวจกันจริงๆ ไม่ใช่มองเล่นๆ พยายามหาให้เจอและคุณรู้สึกออกมาจากส่วนลึกว่านั่นคือความดีของเขา นั่นคือคุณประโยชน์ของการมีเขาอยู่ในโลก จากนั้นให้เอาข้อดีที่พบไปพูดสรรเสริญให้คนอื่นฟัง เพียงแค่ครั้งสองครั้ง คุณจะเห็นใจตัวเองแตกต่างไป คือรู้สึกจดจำเขาในภาพใหม่ขึ้นมา นั่นก็เพราะคุณสร้างใจจริงดีๆด้วยการมองเห็นกรรมดีของเขาตามจริง แถมสำทับซ้ำให้หนักแน่นด้วยการพูดดีเชิดชูเขา เท่ากับก่อทั้งมโนสุจริตและวจีสุจริต ชนะมโนทุจริตเดิมขาดลอย เว้นแต่คุณไปว่าร้ายเขามานาน อันนี้ก็ต้องตามแก้ด้วยน้ำหนักบุญใหม่ พูดถึงเขาในด้านดีไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้น้ำหนักเกินบาปเก่า ซึ่งจะรู้ได้ว่าถึงจุดนั้น ก็เมื่อใจคุณจะเบาหวิว มีแต่มุมมองด้านดี เห็นเขาแล้วอยากยิ้ม ไม่คิดเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนอันใดอีกเลย
ความหมั่นไส้เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างหนึ่งของมนุษย์และสัตว์ มองหน้ากันแวบแรกสามารถเขม่นกันได้ทันที อาจเพราะรูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา อาจเพราะได้ดีเกินที่เรารู้สึกว่าควร หรืออาจเพราะเคยมีความผูกพันทางด้านร้ายกันมาแต่ปางก่อน อย่างไรโดยธรรมชาติอันเป็นที่สุดแล้ว ต้นตอความหมั่นไส้มาจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเป็นหลัก คนจนหมั่นไส้คนรวย คนตัวเหม็นหมั่นไส้คนตัวหอม คนทุศีลหมั่นไส้คนมีศีล เรียกว่าธรรมดาโลก
มนุษย์นี้ เพียงชาติเดียวก็เห็นอะไรได้หลายอย่าง ชีวิตเปิดโอกาสให้เราเคยเป็นทั้งผู้มองและผู้ถูกมอง เวลาเรามองคนอื่น เรามักไปตั้งความคาดหวัง ว่าทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างนี้ ต่อเมื่อสลับที่ยืน ถึงเวลาเราไปอยู่ในจุดที่ถูกมอง เราก็อาจสงสัยว่าทำไมเขาไม่มองเราอย่างนี้ ทำไมเขาถึงมองเราเตลิดเปิดเปิงไปได้ขนาดนั้น
คนเราเข้าถึงกันได้จำกัด แต่ละคนอยู่ในกรอบของตัวเอง กรอบที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์ มุมมอง ความเชื่อ และความรู้สึก ยิ่งกว่านั้นคนเรามักจะนึกว่าเข้าใจสิ่งที่คนอื่นคิด โดยเอาความคิดของตนเองเป็นเครื่องวัด เช่นถ้าเรามาทำงานเร็วเพื่อเอาหน้า พอเห็นคนอื่นมาทำงานเร็วก็นึกว่าเขาอยากเอาหน้าเช่นกัน ทั้งที่ความคิดของเขาอาจแค่อยากเลี่ยงรถติดเท่านั้น
หากมีอุบายใดที่คิด พูด และทำกับคนถูกหมั่นไส้ แล้วใจคุณรินเมตตาออกมา ก็เอาเลยครับ อย่าช้า เพราะเมตตานั่นแหละเป็นคลื่นจิตด้านบวก ที่ลบล้างมลทินทางใจได้ครอบจักรวาลแท้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น